ศึกแทนทาลั่ม |
บริษัทไทยซาร์โก้ได้รวบรวมแร่แทนทาลั่ม ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการถลุงแร่โดยไม่ต้องซื้อหาเป็นจำนวนมากในแต่ละปี และขออนุญาตส่งออกในลักษณะวัสดุไร้มูลค่ามานานรายได้มหาศาลเกิดขึ้นกับบริษัทฯ โดยไม่มีใครรู้ ต่อมาเมื่อความต้องการแทนทาลั่มสูงขึ้นและเรื่องผลพลอยได้ที่เกิดจากการถลุงแร่ดีบุกกระจายออกสู่ภายนอก รัฐบาลจึงได้เข้ามาควบคุมการส่งออกแร่ดีบุก โดยใช้ระบบภาษีค่าภาคหลวงขึ้นในการซื้อขายขี้ตะกรัน ขี้ตะกรันจึงกลายเป็นสิ่งมีค่า
ผลประโยชน์ที่จะได้รับจากขี้ตะกรัน จึงเป็นจุดสนใจของประชาชนในภูเก็ต และจังหวัดใกล้เคียง ดังนั้น “โรงกลวง” หรือ โรงถลุงแร่โบราณ ตั้งแต่สมัยอยุธยา จนถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น กลายเป็นแหล่งทรัพยากรอันมีค่า เพราะพื้นดินหรือบริเวณรอบๆ โรงกลวง มีขี้ตะกรันที่ถูกฝังทับถมกันมานาน เมื่อถูกขุดแบบพลิกแผ่นดินหาขี้ตะกรัน ก็เกิดเป็นธุรกิจที่สร้างความร่ำรวยให้แก่ชาวภูเก็ตและจังหวัดใกล้เคียง
บริษัทไทยแลนด์ แทนทาลั่ม อินดัสตรี จำกัด ได้ยื่นโครงการต่อรัฐขอทุนส่งเสริมอุตสาหกรรมโรงงานผลิตแร่แทนทาลั่มขึ้นในจังหวัดภูเก็ตในปี พ.ศ. 2529 ที่ตั้งโรงงานคือ บริเวณหลังโรงไฟฟ้าลิกไนท์ ถนนเทพกระษัตรี ในระหว่างการก่อสร้าง ได้มีข่าวที่สร้างความสับสนให้กับสังคมภูเก็ต เช่น มลพิษที่จะเกิดจากโรงงาน ซึ่งเป็นพิษร้ายแรงทำอันตรายต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อมอย่างมาก เรื่องนี้ได้สร้างความหวั่นวิตกต่อชาวภูเก็ต ประกอบกับในขณะนั้น เตาปฏิกรณ์ปรมาณูที่เมืองเชอร์โนบิล ประเทศรัสเซีย ระเบิด ความรุนแรงของสารเคมีอันตรายได้แพร่กระจายไปสู่ประเทศข้างเคียง และประชาชนที่อยู่ในบริเวณนั้น นอกจาก นี้โรงงานของบริษัทยูเนียนคาร์ไบต์ในเมืองโคปาร์ของอินเดียเกิดอุบัติเหตุในเวลาใกล้เคียงกัน สองข่าวนี้ได้สร้างความกดดันให้กับชาวภูเก็ตเป็นอย่างมาก
ศึกแทนทาลั่ม |
รัฐบาลไม่มีคำอธิบายใดๆ ต่อประชาชน และไม่แสดงทีท่าห่วงใยประชาชนให้ปรากฏ แม้ตัวแทนรัฐบาล คือ ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา ซึ่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรมในสมัยนั้นได้เดินทางมาจังหวัดภูเก็ต เพื่อชี้แจงแก่ประชาชนที่รวมตัวกันประท้วง ณ ศาลาประชาคม ตั้งแต่เวลา 8.30 น. ของวันที่ 23 มิถุนายน 2529 ในขณะที่ผู้นำท้องถิ่นไปรับตัวแทนของรัฐบาลที่สนามบิน แต่เวลาได้ผ่านพ้นไปจนเที่ยงวันก็ไม่ปรากฏตัวแทนของรัฐบาลและผู้ว่าราชการจังหวัด ความร้อน ความหิว การรอคอยที่ไม่มีกำหนดแน่นอน เร่งเร้าให้ประชาชนที่ชุมนุมด้วยความสงบ เริ่มมีปฏิกิริยาและรุนแรงขึ้นตามลำดับ จนไม่มีใครระงับได้ ผู้คนเริ่มขว้างปากระจกของศาลาประชาคมและเริ่มเคลื่อนขบวนออกจากศาลาประชาคมเข้าไปในเมือง ทำลายสิ่งกีดขวางต่างๆ ด้วยความโกรธแค้น เหตุการณ์ครั้งนี้แม่ทัพภาคที่ 4 พลโทวันชัย จิตจำนง เรียกว่า “อุบัติเหตุทางประวัติศาสตร์”
เหตุการณ์เริ่มเลวร้ายตามลำดับ เมื่อผู้นำการประท้วงนำผู้ชุมนุมมาล้อมโรงแรมภูเก็ตเมอร์ลิน ซึ่งเป็นที่พักของผู้แทนรัฐบาล และทำการขว้างปาโรงแรม พยายามที่จะจุดไฟเผาโรงแรม ได้มีผู้เข้ามาเจรจาไกล่เกลี่ย เหตุการณ์จึงสงบลง แต่ในขณะเดียวกัน ผู้ชุมนุมส่วนหนึ่งได้นำขบวนไปที่โรงงานแทนทาลั่ม พร้อมเผาโรงงานจนเสียหายยับเยิน จนดำเนินการต่อไปไม่ได้ โรงงานจึงต้องปิดไปโดยปริยาย มีเพียงร่อยรอยประวัติศาสตร์ คือ โรงงานที่ถูกไฟไหม้ ถูกทิ้งร้าง และรอคำอธิบายจนถึงทุกวันนี้
ข้อมูล คลาดเคลื่อนหลายจุด
ตอบลบ